สหรัฐ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย โปแลนด์กลุ่มทหารจาก:
Iraqi National Congress[2][3][4] Peshmerga ขบวนการประชาชนมุญาฮิดีนอิหร่าน (หยุดยิงในค.ศ. 2003)
[7] อันศอรอัลอิสลาม มะซูด บัรซานี บาบาเกอร์ เชากัต บี. เซบารี ญะลาล ตะละบานี โคสรัต ระซูล อะลีอะฮ์เหม็ด ญะละบี ออสเตรเลีย: ทหาร 2,000 นาย
โปแลนด์: กองกำลังพิเศษ 194 นาย
[11] Peshmerga: 70,000
[12]Mehdi Army: 1600–2800
รวม:ตาย 238 นาย, บาดเจ็บ 1,000+ นาย7,600–11,000 นาย (ผลสำรวจและรายงานเป็น 4,895–6,370 นาย)
[20][21]13,500–45,000 นาย (หน่วยทหารรอบแบกแดด)
[22]รวม: ถูกฆ่า 7,600–8,000 นาย7,269 คน (จากการนับศพ)
[23]แม่แบบ:Better source3,200–4,300 (จากรายงาน)
[20]การบุกครองอิรัก พ.ศ. 2546 (19 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2546) เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่เรียกว่า
สงครามอิรัก หรือปฏิบัติการเสรีภาพอิรัก ซึ่งกำลังผสมอันประกอบด้วยทหารจาก
สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลียและ
โปแลนด์บุกครองอิรักและโค่นรัฐบาล
ซัดดัม ฮุสเซนภายในปฏิบัติการรบหลักนาน 21 วัน ระยะบุกครองประกอบด้วยสงครามรบตามแบบซึ่งจบลงด้วยการยึดครองกรุง
แบกแดด เมืองหลวงของอิรัก โดยกำลังผสมสี่ประเทศที่สนับสนุนกำลังพลระหว่างระยะบุกครองเริ่มต้น ซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมถึง 9 เมษายน 2546 ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา (148,000), สหราชอาณาจักร (45,000), ออสเตรเลีย (2,000) และโปแลนด์ (194) อีก 36 ประเทศเข้าร่วมในผลตามหลัง ในการเตรียมการบุกครอง ทหารสหรัฐ 100,000 นายประชุมกันใน
คูเวตจนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์
[24] สหรัฐอเมริกาเป็นกำลังบุกครองส่วนใหญ่ แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากทหารนอกประจำการชาวเคิร์ดในเคอร์ดิสถานอิรักประธานาธิบดีสหรัฐ
จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
โทนี แบลร์ กล่าวถึงเหตุผลสำหรับการบุกครองว่า "เพื่อปลด
อาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงของอิรัก, เพื่อยุติการสนับสนุนการก่อการร้ายของซัดดัม ฮุสเซนตามที่มีการกล่าวหา และเพื่อปลดปล่อยชาวอิรัก"
[25] อย่างไรก็ดี อดีตหัวหน้าที่ปรึกษาต่อต้านการก่อการร้ายต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ ริชาร์ด เอ. คลาร์กเชื่อว่าบุชเข้าดำรงตำแหน่งพร้อมแผนการบุกครองอิรัก
[26] ส่วนแบลร์ระบุว่า สาเหตุคือ ความล้มเหลวของอิรักในการฉวย "โอกาสสุดท้าย" ในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพของตนเองตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งทางการสหรัฐและอังกฤษเรียกว่าเป็น ภัยคุกคามทันด่วนและทนไม่ได้ต่อสันติภาพโลก
[27] ในปี 2548
หน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกาออกรายงานระบุว่า ไม่พบอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงในอิรัก
[28]ในเดือนมกราคม 2546 การสำรวจความคิดเห็นของซีบีเอสพบว่า ชาวอเมริกัน 64% สนับสนุนการปฏิบัติทางทหารต่ออิรัก อย่างไรก็ดี 63% ต้องการให้บุชหาทางออกทางการทูตมากกว่าการทำสงคราม และ 62% เชื่อว่าภัยคุกคามอันเนื่องมาจาก
การก่อการร้ายต่อสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเพราะสงคราม
[29] การบุกครองอิรักได้รับการคัดค้านอย่างแข็งขันจากพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐ รวมทั้งรัฐบาล
ฝรั่งเศส เยอรมนี นิวซีแลนด์และ
แคนาดา[30][31][32] ผู้นำของชาติเหล่านี้แย้งว่าไม่มีหลักฐานอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงในอิรัก และการบุกครองอิรักจะไม่ได้รับความชอบธรรมในบริบทของรายงานคณะตรวจสอบอาวุธทั้งในส่วนของคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเคมี ชีวภาพและพาหะนำส่งของสหประชาชาติ (UNMOVIC) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2546 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ หนึ่งเดือนก่อนการบุกครอง มี
การประท้วงทั่วโลกต่อต้านสงครามอิรัก รวมทั้งการชุมนุมกว่าสามล้านคนในกรุง
โรม ซึ่ง
บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บันทึกไว้ว่าเป็นการชุมนุมต่อต้านสงครามที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี
[33] นักวิชาการฝรั่งเศส Dominique Reynié ระบุว่า ระหว่างวันที่ 3 มกราคมถึง 12 เมษายน 2546 มีประชาชน 36 ล้านคนทั่วโลกเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านสงครามอิรักเกือบ 3,000 ครั้ง
[34]ก่อนหน้าการบุกครองมีการโจมตีทางอากาศต่อทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงแบกแดดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2546 วันรุ่งขึ้น กำลังผสมได้เริ่มบุกครองเข้าสู่จังหวัดบาสราจากจุดระดมพลใกล้กับพรมแดนอิรัก-คูเวต ขณะที่กองกำลังพิเศษโจมตีแบบสะเทินน้ำสะเทินบกจาก
อ่าวเปอร์เซียเพื่อยึดบาสรา และบ่อปิโตรเลียมที่อยู่โดยรอบ กองทัพบุกครองหลักเคลื่อนเข้าไปในอิรักตอนใต้ ยึดครองพื้นที่นั้นและรบในยุทธการนาซิริยาห์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม การโจมตีทางอากาศขนานใหญ่ทั่วประเทศและต่อระบบบัญชาการและควบคุมของอิรักทำให้กองทัพฝ่ายป้องกันโกลาหลและไม่อาจต้านทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันที่ 26 มีนาคม กองพลน้อยพลร่มที่ 173 โดดร่มลงใกล้กับนคร
คีร์คูกทางเหนือ ซึ่งพวกเขาเข้าร่วมกับกำลังกบฏชาวเคิร์ดและดำเนินการปฏิบัติหลายครั้งต่อกองทัพอิรักเพื่อยึดครองส่วนเหนือของประเทศทัพผสมหลักเคลื่อนตัวต่อไปยังใจกลางอิรักและพบกับการต้านทานเพียงเล็กน้อย ทหารอิรักส่วนใหญ่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและกรุงแบกแดดถูกยึดครองเมื่อวันที่ 9 เมษายน ปฏิบัติการอื่นเกิดขึ้นต่อวงล้อมกองทัพอิรักรวมทั้งการยึดคีร์คูกเมื่อวันที่ 10 เมษายน และการโจมตีและยึดทิกริตเมื่อวันที่ 15 เมษายน ประธานาธิบดีอิรัก
ซัดดัม ฮุสเซน และผู้นำส่วนกลางหลบซ่อนตัวหลังกำลังผสมสำเร็จการยึดครองประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม มีการประกาศยุติปฏิบัติการรบหลัก อันเป็นการยุติของขั้นบุกครองและการเริ่มต้นของขั้นการยึดครองทางทหาร จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 มีรายงานว่า ยอดพลเรือนเสียชีวิตอยู่ที่ 36,533 คน และการศึกษาดังกล่าวศึกษาเฉพาะพื้นที่อิรักส่วนที่มิใช่ของชาวเคิร์ด
[35]